ในบรรดารถยนต์นั่งขนาดเล็กกลุ่มอีโคคาร์ น่าจะจัดได้ว่านิสสัน โน๊ตนั้น (Nissan Note) เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่สุดที่เปิดตัวเข้าสู่ตลาดประเทศไทย แม้จะหักปากกาเซียนด้วยการดันตัวเองเข้าอีโคคาร์โครงการ 1 แทนที่จะลุยโครงการที่ 2 ไปเลยก็ตาม
การกระโดดเข้าสู่สมรภูมิรถยนต์นั่งที่มีขนาดใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย แม้หลายฝ่ายอาจจะยังงงและสงสัยกับการแบ่งตลาดระหว่างนิสสัน โน๊ตและนิสสัน มาร์ช ที่ทำตลาดมาก่อน แต่ก็ถือว่านิสสันนั้นทำการบ้านกับรถรุ่นนี้มามากพอสมควร
และก็อาศัยการเป็นผู้ที่ตามเข้ามาในตลาดทีหลัง แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอีโคคาร์รุ่นแรก ๆ เสียจนแทบจะหมดสิ้น แถมยังใจดีใส่อุปกรณ์มาให้อย่างเต็มพิกัด เรียกได้ว่าเป็นรถเล็กที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันที่สุดรุ่นหนึ่งในท้องตลาด
แถมด้วยค่าตัวน่ารักกำลังดี จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราเริ่มเห็นรถรุ่นนี้ออกมาวิ่งกันบนถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้อาจจะไม่มากเท่ากับตอนเปิดตัวมาร์ชก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญานที่ดีสำหรับนิสสันในตลาดอีโคคาร์ในประเทศไทย
อีโคคาร์รุ่นที่ 3 ของนิสสันประเทศไทย เปิดตัวมีอายุอานามในการทำตลาดมาราว ๆ 1 ปีพอดิบพอดี มาพร้อมด้วยรูปทรงแฮชท์แบ็ค หน้าตาทันสมัยด้วยแนวทางการออกแบบสมัยใหม่ของนิสสัน กระจังหน้าวี-โมชั่น ดูโดดเด่นเป็นพิเศษบนตัวรถ
ภายนอก
รถทดสอบที่นำมาเป็นสีชมพูอ่อนที่ผมคิดว่าสาว ๆ น่าจะชอบ แต่ดูขัดกับผมเหลือเกินเวลาเดินทางไปไหนมาไหน ตัวรถนั้นให้บุคลิกที่ดูจะคล่องตัว ด้วยลายเส้นที่มีความเฉียบคมกว่าอีโคคาร์ทั่วไป ช่องกันชนด้านล่างเป็นโครเมียมดูหรูหราขึ้นอีกนิด
โคมไฟหน้าแบบแอลอีดี โปรเจคเตอร์ มาพร้อมไฟส่องสว่างกลางวันที่นิสสันตั้งชื่อว่าแอลอีดี ซิกเนเจอร์ ไลท์ ไฟตัดหมอกคู่หน้า การออกแบบด้านข้างโฉบเฉี่ยวและมีการใช้ลายเส้นที่ลงตัว ทำให้รถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.3
มือจับประตูแบบโครเมียม แต่กระจกข้างเป็นสีเดียวกับตัวรถ ไฟเลี้ยวบนกระจกครอบเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน ด้านหลังตัวรถสวยเด่นด้วยไฟท้ายแอลอีดีทรงบูมเมอแรง ถ้าเป็นรุ่นท็อปมาพร้อมสปอยเลอร์ที่ด้านหลังติดตั้งมาให้เสร็จสรรพ
เปิดประตูเดินเข้ามาในตัวรถ แม้จะนั่งที่ด้านหน้าแต่ก็อดตกใจกับความกว้างขวางของรถที่ด้านหลังไม่ได้ มันดูกว้างแบบเป็นห้องเล็ก ๆ ได้เลย ผมใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าเวลาไปออกกำลังกายในรถได้เลย แบบมีที่ยืนให้ก้มหัวใส่กางเกงได้เลยนะ
ห้องเก็บของท้ายรถดูสั้นไปเล็กน้อย แต่ชดเชยมาด้วยเบาะหลังแบบพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกของ และทำให้สามารถขนของขนาดใหญ่ได้ ขณะเดียวกัน ที่พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังก็มีแบ่งพาทิชั่นให้เก็บรองเท้าได้อย่างสวยงาม
เลยต้องไปเปิดสเปกชีทดูก่อน เลยเห็นว่าโน๊ตนั้นมาพร้อมความยาว 4,105 มม. กว้าง 1,695 มม. สูงที่ 1,535 มม. พร้อมระยะฐานล้อยาว 2,600 มม. พร้อมระยะสูงจากพื้นที่ 155 มม. ตัวถังนั้นมีขนาดที่เรียกว่าซัดกับบี-เซกเมนต์ในตลาดได้แบบสบาย ๆ
ภายใน
นอกจากความกว้างขวางแล้ว ต้องบอกว่านิสสันเองก็พยายามใส่ของเล่นเข้ามามากจริง ๆ จนไม่สามารถใช้งานได้ครบในระยะเวลาอันใกล้ วัสดุในการประกอบเหมือนขอยืมมาจากมาร์ชเลย พลาสติกแข็ง ๆ ยังเป็นองค์ประกอบหลักของห้องโดยสารเหมือนเดิม แต่เพิ่มสีดำมันและโครเมียมเข้ามามากขึ้น
ต้องบอกว่าทีมออกแบบภายในของนิสสันทำงานหนักเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะแม้วัสดุจะเปลี่ยนไม่มาก แต่บรรยากาศในห้องโดยสารดีขึ้นมาก อันนี้ไม่ได้หมายถึงของเล่นที่เพิ่มมานะครับ แต่โดยรวม ๆ แล้ว อารมณ์ในห้องโดยสารดูแพงขึ้นมาพอตัวเลย
เบาะยังเป็นเบาะผ้านุ่ม ๆ ยวบ ๆ แต่เน้นดีเทลการออกแบบด้วยการตัดขอบสีเบจ เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้ มีช่องเก็บของด้านหลังเบาะ ประตูด้านหลังเปิดกว้างเกือบเป็นมุมฉาก เข้าออกได้อย่างสะดวกสบาย แต่ต้องระมัดระวังเวลาเปิดกว้าง ๆ จะไปตีรถคันอื่นเขา
ณ ตำแหน่งคนขับมองไปข้างหน้าจะเห็นห้องโดยสารที่ตกแต่งมาอย่างตั้งใจ ช่องแอร์แบบฝาพับให้ลมแอร์ที่เย็นฉ่ำ วิทยุหน้าตาทันสมัยใช้งานไม่ยาก และแผงควบคุมแอร์แบบดิจิตอลทรงกลม ถ้าช่วยทำพลาสติกตรงคันเกียร์เป็นสีดำมันอีกนิดจะสวยงามอลังการมาก
พวงมาลัยรูปทรงสปอร์ตที่ปรับสูง-ต่ำได้ อันนี้คือดี รุ่นท็อปมาพร้อมพวงมาลัยแบบมัลติฟังชั่นที่คุมเครื่องเสียงได้ มาตรวัดเรืองแสงแสดงข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ระบบเตือนลืมปิดไฟหน้า เตือนลืมกุญแจ ดูเหมือนเอาใจลูกค้าสุภาพสตรีมากเป็นพิเศษ
เครื่องยนต์
กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตรก็ครางขึ้นมาแบบเอื่อย ๆ เครื่องยนต์รุ่นนี้ใช้มาตั้งแต่นิสสัน มาร์ชและนิสสัน อัลเมร่า สเปกเดิมครับ กำลังสูงสุด 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร มาพร้อมไอเดิล สต๊อป เรียบร้อยแล้ว
ทดลองขับ
นิสสันเคลมว่ามีการปรับการทำงานของเกียร์ซีวีทีใหม่ให้ฉลาดขึ้น เอาจริง ๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเปลี่ยนอะไรเยอะมากตรงนี้ เพราะฟีลลิ่งการขับก็เหมือนเจ้ามาร์ชสีส้มที่จอดอยู่ที่บ้านผมล่ะครับ ไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดอะไรจนผิดสังเกตขนาดนั้น
การตอบสนองของเครื่องยนต์ก็ไม่ได้แตกต่างหรือสร้างความประหลาดใจอะไรครับ รถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในเมือง จะให้ปรู๊ดปร๊าดฉับไวก็คงไม่ได้ เครื่องยนต์ของโน๊ตก็มาแนวไหล ๆ เรื่อย ๆ มากกว่า ถ้าต้องการทำความเร็วก็ต้องกดคันเร่งแบบอัดอัด ดูจังหวะรถดีดีหน่อย
แต่ในยามที่ต้องการความเร่งด่วนจากรถคันนี้ โน๊ตก็สามารถพาพุ่งทะยานไปที่ระดับ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้เหมือนกัน แม้จะต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถมากขึ้นอีกเล็กน้อย ถ้าใครคิดจะซื้อมาขับเร็วตลอดเวลา คงต้องขอแนะนำให้ไปซื้อรถเครื่องใหญ่กว่านี้
ช่วงล่างของรถคืออีกจุดที่ต้องพูดถึง แม้นิสสันจะไม่ได้บอกว่าเป็นจุดขาย แต่ถ้าจะบอกว่านี่คืออีโคคาร์ที่มีช่วงล่างน่าใช้งานที่สุดคันหนึ่งก็ไม่ผิด ด้วยความมั่นคงและแม่นยำในการเข้าโค้ง แถมยังให้ความนุ่มนวลในการขับขี่บนท้องถนน ทำให้การควบคุมรถเป็นไปได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย
ก็รักจะซื้ออีโคคาร์ทั้งที ก็คงต้องเข้าใจว่ารถออกแบบมาเพื่อการใช้งานอย่างไร บอกเลยว่าถ้าเทียบกับอีโคคาร์ด้วยกัน โน๊ตให้บรรยากาศการเดินทางในเมืองที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครหน้าไหน แถมยังมีอุปกรณ์ความสะดวกและความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถหลาย ๆ คัน
เอาล่ะ ผมยอมรับว่าไม่ชอบและไม่ชินกับกล้องมองหลังที่ไปแสดงผลที่กระจกมองข้างจนอาจจะรำคาญ และพาลคิดไปว่าทำไมไม่เอามาฉายบนหน้าจอวิทยุด้วยซ้ำ แต่คนที่ได้นั่งรถคันนี้ตอนช่วงที่ผมทดสอบกลับชอบและคิดว่ามันแปลกใหม่ดี
ระบบที่ชอบและคิดว่าควรจะกลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์ในประเทศไทยได้แล้วก็คือระบบเตือนการชนด้านหน้าและระบบเบรกฉุกเฉิน อันนี้มีประโยชน์มากสำหรับถนนประเทศไทย และใช้งานได้จริง อันนี้ต้องชม รู้สึกจะเป็นค่ายที่ 2 ที่ติดตั้งระบบนี้มาในอีโคคาร์นะ ถ้าจำไม่ผิด
โน๊ตนั้นต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานใหม่เรื่องของระบบความปลอดภัยในรถไซส์นี้ ด้วยระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง กล้องอัจฉริยะมองรอบคัน ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน มาเสริมกับระบบความปลอดภัยพื้นอย่างอย่างเอบีเอส เข็มขัดนิรภัย หรือถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่งในทุกรุ่น
สรุปรวมความกับนิสสัน โน๊ต ที่มาพร้อมค่าตัว 6.40 แสนบาทในรุ่นท็อปที่นำมาทำการทดสอบ ถ้าคุณทำใจยอมรับกับการเป็นรถยนต์ที่พัฒนามาเพื่อการใช้งานในเมืองได้ นี่คืออีโคคาร์ที่มีความครบครันที่สุดสำหรับการใช้งานบนท้องถนนในประเทศไทย
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษาที่ต้องเดินทางไปพร้อมขนเพื่อนไปด้วย พนักงานบริษัทที่อยากได้รถที่ผ่อนไม่หนักเกินไป พวกบ้าเทคโนโลยีระหว่างการเดินทาง หรือแม้แต่จะต้องใช้งานในการขนผู้หลักผู้ใหญ่ไปทำธุระ โน๊ตพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการในทุกฟังก์ชันของชีวิต
แลกกับการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดูจะอืดอาดไปนิด ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการขับปรู๊ดปร๊าด มุดไปมาตามท้องถนน การเร่งแซงต้องกะระยะและเผื่อเวลามากนิดนึง ซึ่งก็เป็นไปตามปกติของรถยนต์อีโคคาร์เครื่อง 1.2 ลิตรอยู่แล้ว
ลองพิจารณาแล้วไปลองขับกันที่โชว์รูมนิสสันก่อนก็ได้นะครับ หรือสงสัยอะไรมาถามกันได้ เดี๋ยวมาตอบให้อีกทีนะครับ