รถครอสโอเวอร์ Chevrolet Blazer หวนคืนสู่ตลาดอีกครั้งในรอบ 13 ปี หลังจากเคยออกจัดจำหน่ายในชื่อ S-10 Blazer และยกเลิกการผลิตไปตั้งแต่ปี 2005
ตลาดรถอเนกประสงค์เติบโตอย่างต่อเนื่อง General Motors จึงเดินหน้าเติมเต็มไลน์ผลิตภัณฑ์ด้วยการเปิดตัวรถครอสโอเวอร์แนวสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Blazer ซึ่งมาพร้อมความดุดันปราดเปรียวอย่างชัดเจน โดยจะมีตำแหน่งการตลาดเหนือกว่ารุ่น Chevrolet Equinox แต่เล็กกว่า Chevrolet Traverse
หากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกจะเห็นได้ว่า Blazer มีความคล้ายคลึงกับรถมัสเซิลคาร์ 2019 Camaro SS อย่างมาก สร้างภาพลักษณ์ความโฉบเฉี่ยวและโมเดิร์นเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ กรอบไฟหน้าเป็นเทคโนโลยี HID และมีกระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่พร้อมโลโก้โบว์ไทสีดำ เสาหลังคาหน้าก็ใช้สีดำเช่นกันทำให้แผงหลังคาดูเหมือนลอยเด่นอยู่เหนือตัวรถ
หันมาดูที่ไฟท้ายเป็นแบบ LED และมีท่อไอเสียทรงเหลี่ยม ล้ออัลลอยมีขนาดตั้งแต่ 18 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานขึ้นไปถึงขนาดใหญ่ 21 นิ้วในรุ่นบนอย่าง Premiere และ RS
จอห์น คาฟาโร ผู้อำนวยการบริหาร Global Chevrolet Design กล่าวว่า “Blazer ถูกออกแบบมาให้เป็นผู้นำจอมบงการบนท้องถนน เปี่ยมด้วยความอเนกประสงค์ซึ่งเป็นหัวใจหลักของรถครอสโอเวอร์และรถเอสยูวีของ Chevrolet ทุกรุ่น”
ภายในห้องโดยสารเน้นความสปอร์ต บึกบึน และทันสมัยอย่างมาก กรอบไฟทรงกลมติดตั้งอยู่ด้านล่างต่ำกว่าหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 8 นิ้ว เบาะที่นั่งรองรับผู้โดยสาร 5 คน โดยเบาะหลังสามารถเลื่อนไปด้านหน้าและด้านหลังได้ 5.5 นิ้วเพื่อเพิ่มพื้นที่ช่วงขา 2019 Blazer เป็นรถรุ่นแรกที่มาพร้อมระบบ Cargo Management System ซึ่งเป็นระบบรางแยกสัดส่วนพื้นที่จัดเก็บสัมภาระให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ ยังรวมถึง Adaptive Cruise Control และ Rear Camera Mirror ฝาประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า มีระบบชาร์จไฟอุปกรณ์อิเลกทรอนิกไร้สายและพอร์ท USB ให้ใช้งานถึง 6 จุด รวมถึงการเชื่อมต่อ 4G LTE Wi-Fi พร้อมรองรับแอปเปิล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้
Blazer มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 รุ่นในช่วงเปิดตัว เริ่มจากขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร พละกำลัง 193 แรงม้า แรงบิด 255 นิวตันเมตร และเบนซินบล็อกวี6 ความจุ 3.6 ลิตร 305 แรงม้า แรงบิด 365 นิวตันเมตร ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดและมีระบบสตาร์ทและหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติเพื่อความประหยัดน้ำมัน โดยรุ่นวี6 มีศักยภาพการลากจูงได้ถึง 2,040 กก.
ระบบขับเคลื่อนมีฟังก์ชั่น Traction Select ซึ่งเอื้อให้ผู้ขับขี่สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้แบบเรียลไทม์ โดยสามารถเลือกได้ทั้งใช้งานระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนรุ่นท็อปมีระบบทวินคลัตช์ขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งค่ายรถยักษ์อเมริกันเคลมว่าจะให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนบนทางเปียกลื่นได้ดีกว่า
Chevrolet จะขึ้นสายการผลิต Blazer ในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศเม็กซิโก กำหนดการส่งมอบคันแรกในช่วงต้นปีหน้า
ติดตามข่าวแวดวงยานยนต์ก่อนใครที่ Autostation.com